คลินิกภาษีผลไม้

“เอ...มีที่ดินอยู่ 1 แปลง ถ้าจะปลูกผลไม้ขายต้องเสียภาษีไหมนะ?” เป็นหนึ่งคำถามที่เกิดขึ้นเสมอจากเกษตรกรที่มีเงินได้ไม่แน่นอนในแต่ละปี แต่เรามีเรื่องราวภาษีที่ง่ายและจัดการได้สไตล์ผู้ประกอบการไทยมาฝาก เพื่อให้ “ภาษี” ไม่เป็นภาระอันซับซ้อนอีกต่อไป

ดาวน์โหลด

PDF

เปิดใน

Flipbook

ให้คะแนนสินค้านี้

จดทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(กรณีต้องการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และ/หรือต้องการเป็นผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกผลไม้)
นำเข้า ผลิต จำหน่าย ส่งออก
ลงทะเบียน Paperless ขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร
(กรณีที่ได้รับการยกเว้น)
ออกใบกำกับภาษี
(กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ลงทะเบียน Paperless
ขั้นตอนพิธีการนำเข้า   การจัดรายงานภาษี
(กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ขั้นตอนพิธีการส่งออก
ผ่านด่านตรวจพืช ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ขออนุญาตส่งออก
จัดทำรายงานภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม
(กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ขอยกเว้น/ขอคืนภาษี
ยื่นแบบฯ และเสียภาษี     จัดทำรายงานภาษี
      ยื่นแบบฯ และเสียภาษี

"ผลไม้ไทย" ปลูกง่าย...ขายดี เสียภาษีสบาย


"ผลไม้"
คือสินค้าลือชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศไทย ด้วยแผ่นดินทองอันอุดมสมบูรณ์ทำให้เรามีผลไม้หลากชนิดหมุนเวียนมาให้กินกันตลอดทั้งปี จะผลไม้เชื้อสายไทยเชื้อสายเทศ...ไม่เกินความสามารถเกษตรกรไทยไปได้เลย

ผู้ที่คิดจะปลูกผลไม้เพื่อการค้ามีตั้งแต่บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือนิติบุคคลอื่น

ดังนั้น คุณต้อง "ชัดเจน" ตั้งแต่เริ่มต้นว่าคุณจะปลูกผลไม้เพื่อการค้าในฐานะบุคคลธรรมดา หรือกลุ่มบุคคลอื่นๆ กันแน่ เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับ "ภาษีเงินได้"

จากผลผลิตของคุณ

เติม 'ปุ๋ย' ความรู้

อยู่พื้นที่ไหน...ปลูกอะไรดีนะ

การจะปลูกผลไม้อะไรสักชนิด คุณต้องรู้ให้ลึกก่อนว่าภูมิประเทศของแหล่งปลูกเป็นอย่างไร อยู่ในภูมิภาคไหนของไทย ประเภทของดินเป็นอย่างไร มีน้ำเพียงพอหรือเปล่า ฯลฯ จากนั้นจึง "คัดเลือกพันธุ์ผลไม้" ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ตัวอย่างเช่น

  • ทุเรียน ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส ชอบดินร่วน ร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทราย
  • มะม่วง ปลูกได้ทั่วประเทศ การปลูกเพื่อค้าต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำฝนและความชื้นในอากาศ มะม่วงต้องการช่วงแห้งแล้งก่อนออกดอก ชอบอากาศร้อน ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ไม่ชอบลม
  • แอปเปิ้ล เป็นผลไม้สายพันธุ์ต่างชาติ ชอบอากาศหนาวยาวนาน อุณหภูมิ 60-85 องศาฟาเรนไฮต์ จึงต้องปลูกในที่สูงอย่างดอยอ่างขาง และชอบดินร่วนปนทราย

ปลูกเพื่อขาย...ต้องเสียภาษี

ก่อนจะปลูกผลไม้ขายคุณต้องมาทำความเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะแบ่งช่วงของภาษีออกเป็น 3 ช่วง คือ

แรกเริ่ม: ขอจด ขอเลข

จดทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบกิจการค้าขายผลไม้

- ขอมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร เพื่อใช้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี การหักภาษี ณ ที่จ่าย ฯลฯ

- ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยหลักแล้วผู้ที่ขายพืชผลทางการเกษตรที่ไม่แปรรูป เช่น ผลไม้สด ในประเทศ จะ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ยังสามารถยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม

แต่... หากคุณไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องทำ รายงานเงินสดรับ-จ่าย ในแต่ละปีเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

ระหว่างปี >> เมื่อซื้อ-ขาย-จ่าย-รับ

ระหว่างปีที่ปลูกผลไม้จนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิตไปจำหน่าย จะมีภาษี 2 ประเภทหลักๆ เข้ามาข้องเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ นั่นคือ

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรณีเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)

รับเมื่อขาย: เมื่อมีผลผลิตคุณจะต้องตั้งราคาขาย โดยอาจคิดจาก "ราคาต้นทุน + กำไรจากน้ำพักน้ำแรง + ภาษีมูลค่าเพิ่ม" เท่ากับว่าผู้ซื้อเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ แต่คุณต้อง ออกใบกำกับภาษีหรือบิลเงินสด ให้ลูกค้าไว้เป็นหลักฐานด้วย

จ่ายเมื่อซื้อ: เมื่อคุณต้องซื้อวัตถุดิบใดๆ ราคาของที่คุณซื้อก็มักบวกภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้ว และคุณก็จะได้รับใบกำกับภาษีจากผู้ขาย แต่หากคุณซื้อเมล็ดพันธุ์ผลไม้ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฯลฯ จาก ผู้ขายซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คุณก็ไม่ต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อเช่นกัน

2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ เมื่อคุณ ปลูกผลไม้ ... ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการให้กับพนักงาน ลูกจ้างและคนงาน ซึ่งเป็นเงินที่กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ทุกครั้งเมื่อจ่ายเงิน

เมื่อคุณ ขายผลไม้... ไม่ว่าจะขายให้ใครก็ตาม ไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย คุณดำเนินการในฐานะบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ไม่รวมกลุ่มเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์) โดยนอกจากปลูกผลไม้แล้วยังปลูกพืชผลการเกษตรอื่นๆ อีก

หรือ ขายสินค้าพืชไร่ 8 ชนิด ได้แก่ ยางแผ่นหรือยางชนิดอื่น มันสำปะหลัง ปอ ข้าวโพด อ้อย เมล็ดกาแฟ ผลปาล์มน้ำมัน หรือข้าว ให้แก่บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น จะต้องถูก หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 0.75

เติม 'ปุ๋ย' ความรู้

ทำไมต้องถูกหักร้อยละ 0.75 เมื่อขายพืชไร่ 8 ชนิด

ใช่ว่าเกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลจะปลูกแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งปี พื้นที่ว่างก็อาจจัดสรรปลูกพืชอื่นได้ ดังนั้น รายได้ทั้งปีจะสูงมาก การที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ร้อยละ 0.75 เมื่อไปขายยางพารา มันสำปะหลัง ปอ ข้าวโพด อ้อย เมล็ดกาแฟ ผลปาล์มน้ำมัน หรือข้าว จะเป็นการทยอยเสียภาษีนั่นเอง ทำให้ไม่ต้องรับภาระหนักเมื่อต้องเสียภาษีทั้งปีตอนสิ้นปี

รวบยอด >> ยื่น 2 ครั้งต่อปี บรรเทาภาระภาษี

ช่วงโค้งสุดท้ายภาษีของชาวไร่ชาวสวนก็คือ การนำรายได้ทั้งปีมายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ยื่น 2 ครั้งใน 1 ปี ตามประเภทของผู้ประกอบการ

1. เป็นบุคคลธรรมดา คุณถือเป็นผู้มีรายได้จากการเกษตรหรือจากการทำธุรกิจ จึงต้องนำรายได้หรือยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งปี มาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แล้วยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 ครั้งต่อปี

ครั้งแรก: กรกฎาคม-กันยายน ของปีที่ได้รับเงิน (แบบ ภ.ง.ด.94) เพื่อเสียภาษีเงินได้ครึ่งปี (เงินได้เดือนมกราคม-มิถุนายน ของปีนั้น)

ครั้งที่ 2: มกราคม-มีนาคม ของปีถัดไป (แบบ ภ.ง.ด. 90) โดยนำรายได้ก่อนหักรายจ่ายใดๆ ทั้งปีมาเพื่อรวมคำนวณภาษีทั้งปีในปีภาษีที่ผ่านมา และหักด้วยภาษีที่ได้ชำระไว้แล้วเมื่อตอนยื่นแบบครั้งแรก (ก.ค.-ก.ย.)

2. เป็นนิติบุคคล รายได้ที่บริษัทได้รับทั้งปีจะต้องนำมาคิดคำนวณภาษี โดยนำ "กำไรสุทธิ" มาคำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 20 โดยยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี 2 ครั้งเช่นกัน

ครั้งแรก: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี

ครั้งที่สอง: เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี

**ข้อมูลและเอกสารเพิ่มเติมที่ "ผลิต" "จำหน่าย"

นอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้ว ยังมีภาษีที่เกี่ยวข้องกับกรมศุลกากรที่คุณต้องชำระ... หากมีการนำเข้าผลไม้ ส่วนการส่งออกผลไม้จากสวนของตัวเองไปตีตลาดชาติอื่นๆ ไม่ต้องเสียอากรขาออก

ซึ่งหากคุณตั้งใจจะ นำเข้าหรือส่งออก "ผลไม้" แล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณต้องดำเนินการคือ

- จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้อง จัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ เพื่อใช้ประกอบการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีตามกฎหมายต่อไป

- ลงทะเบียนในระบบพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร หรือ Paperless (ลงทะเบียนครั้งแรกเท่านั้น) เมื่อลงทะเบียนแล้วจึงดำเนินการใน ขั้นตอนการนำเข้าสินค้า ตามระเบียบของกรมศุลกากร

ทั้งนี้ สินค้านำเข้าประเภทผลไม้ จะต้อง ผ่านด่านตรวจพืชของกรมวิชาการเกษตร เสียก่อน เพื่อป้องกันโรค ศัตรูพืช และสารเคมีอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับสินค้าจากต่างประเทศ รวมถึงพืชดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMOs) เข้าสู่ประเทศไทย

ที่สำคัญคือ ถ้าคุณ นำเข้าผลไม้ จากต่างประเทศมาขาย ทั้งๆ ที่เป็นผลไม้ซึ่งปลูกได้เองในประเทศไทยแล้วละก็... คุณต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงถึง กว่า 40% เลยทีเดียว

**ค้นหาพิกัดอัตราศุลกากรเพิ่มเติมได้ที่ http://igtf.customs.go.th/igtf/th/main_frame.jsp

ส่วนการ ส่งออกผลไม้ ไปตีตลาดโลกนั้น ภาระทางภาษีอากรขาออกของคุณคือ 0% แต่ต้องมีใบอนุญาตของด่านตรวจพืชกรมวิชาการเกษตรยื่นแสดงต่อศุลกากรด้วย อย่างไรก็ตาม อย่าลืมศึกษากฎระเบียบของประเทศที่เราจะส่งออกไปด้วยนะ

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมศึกษากฎระเบียบของประเทศที่เราจะส่งออกไปด้วยนะ

**ข้อมูลและเอกสารเพิ่มเติมที่ "นำเข้า" "ส่งออก"

ข่าวดี... ภาษีน่ารู้

สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจชุมชน หรือ SMEs จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นกรณีพิเศษ เพื่อช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจรายย่อยในอีกทางหนึ่ง

ติดตามได้ที่ "คู่มือภาษีสำหรับวิสาหกิจชุมชน"

** สิทธิประโยชน์ทางภาษีของธุรกิจ SMEs

คนไทยที่ดีต้องเสียภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลภาษีสินค้า อื่นๆ